ประวัติ
คนไข้ทำเลสิกมานานกว่า 10 ปีแล้ว ก่อนทำมีสายตาสั้น ประมาณ –6.00 ถึง –7.00 ไดออปเตอร์ หลังทำเลสิกคนไข้เห็นภาพซ้อน (Monocular Diplopia) โดยเฉพาะในตาขวา
ประวัติทางตาอื่นๆ
- มีประวัติวุ้นตาเสื่อมมาก เห็นหยากไย่ลอยไปมาในตา
- เคยยิงเลเซอร์ที่จอตา เพื่อลดโอกาสเกิดจอตาฉีกขาดหลุดลอก เนื่องจากพบว่าจอตามีรูรั่ว
- มีประวัติเคยทำ Visual Training
จากการตรวจวัดสายตาอย่างละเอียด พบว่า มีสายตาเอียงด้านขวามากกว่าด้านซ้าย ดังข้อมูลด้านล่าง
Subjective Refraction (ก่อนใช้เลนส์)
- ตาขวา : +0.50-1.00×180 VA 20/20 With Monocular Diplopia
- ตาซ้าย : +0.25-0.25×165 VA 20/20
หลังใส่แว่นแก้ไขเต็มค่าสายตาแล้ว คนไข้ยังเห็นภาพซ้อนเป็นเงาซ้อนอยู่ โดยเฉพาะที่ด้านขวา จึงได้ทำการถ่ายภาพแผนที่กระจกตา พบว่า กระจกตาด้านขวา (ภาพซ้ายมือ) มี Irregular Astigmatism
ภาพถ่ายแผนที่กระจกตา แสดง Irregular Astigmatism
โดยปกติแล้ว การมี Irregular Astigmatism จะทำให้คนไข้เห็นภาพซ้อนในตาเดียวได้ แม้ใส่แว่นแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ไขภาพซ้อนให้หมดไปได้ ดังนั้น ดร.เบิร์ด จึงให้คนไข้ลองใส่ Scleral Lens ที่สามารถแก้ไขเงาซ้อนจาก Irregular Astigmatism ได้
หลังการใส่ Scleral Lens คนไข้บอกว่าภาพซ้อนในตาขวาได้หายไป และมีการมองเห็นชัดเจนดีขึ้น คนไข้ดีใจมาก และบอก ดร. เบิร์ดว่าเค้ามีความกังวลกับการเห็นภาพซ้อนที่ตาขวามากๆ โดยคนไข้เคยเข้ารับการรรักษาโรคซึมเศร้าจากปัญหาชีวิตต่างๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาการเห็นภาพซ้อนในตาขวานี้ด้วย คนไข้จึงตัด Scleral Lens ทั้งสองข้าง
ดร. เบิร์ดยังได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Monocular Diplopia และ Binocular Diplopia ว่าทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกัน ซึ่ง Scleral Lens นี้จะแก้ปัญหาเฉพาะ Monocular Diplopia เท่านั้น ดังนั้น Visual Training หรือการฝึกกล้ามเนื้อตาเพื่อแก้ไขปัญหา Binocular Diplopia ก็ยังจำเป็นต้องทำอยู่ แต่หากพบว่ามีปัญหามากขึ้น แว่นปริซึมก็จะช่วยแก้ไขปัญหา Binocular Diplopia นี้ได้ ดังนั้น ถ้ามีปัญหาอยู่ให้กลับมาตรวจเพื่อแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมต่อไป
Slit lamp
- ตาขวา
- ตาซ้าย
ภาพถ่าย Slit lamp ขณะใส่ Scleral Lens
