โรคต้อที่ตาส่วนหน้ามีอะไรบ้าง ? แต่ละโรคน่ากลัวไหม ? (ATL029)

โรคต้อที่ตาส่วนหน้ามีอะไรบ้าง ? แต่ละโรคน่ากลัวไหม ? (ATL029)

ต้อลม (Pinguecula)

ต้อลม คือ ภาวะที่ดวงตามีการอักเสบหรือระคายเคืองจากการสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมในอากาศ เช่น ฝุ่น ควัน หรือสารก่อภูมิแพ้ ต้อลมจะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือรอยนูนเล็ก ๆ บริเวณตาขาว โดยเฉพาะใกล้ ๆ กับกระจกตา

อาการของต้อลม

  • ตาแดงหรือระคายเคือง
  • รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
  • ตาแห้งหรือน้ำตาไหลมากกว่าปกติ
  • คันตาหรือแสบตา

สาเหตุของต้อลม : ต้อลมมักเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งที่ระคายเคือง เช่น

  • ฝุ่นละอองหรือควัน
  • แสงแดด (รังสี UV)
  • ลมแรง
  • สารเคมี เช่น น้ำยาทำความสะอาด

การรักษาและป้องกัน

  • ใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตาเพื่อลดการระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหรือควันเยอะ
  • ใส่แว่นกันแดดหรือแว่นป้องกันลมเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม

ต้อลมไม่ได้อันตรายถึงขั้นทำให้ตาบอด แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดความระคายเคืองเรื้อรังหรือพัฒนาเป็นโรคอื่นได้ เช่น ต้อเนื้อ

 

ต้อเนื้อ (Pterygium)

ต้อเนื้อ คือ ภาวะที่มีเนื้อเยื่อสีขาวขุ่นหรือชมพูหนา เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุตาขาว และค่อย ๆ ลุกลามเข้าไปที่กระจกตา (ส่วนดำของตา) ต้อเนื้อเกิดจากการที่ดวงตาสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองหรือแสงแดดเป็นเวลา

อาการของต้อเนื้อ

  • เนื้อเยื่อหนานูนบริเวณตาขาวที่ลุกลามเข้ากระจกตา
  • ตาแดงหรือระคายเคือง
  • การมองเห็นพร่ามัว (หากเนื้อลุกลามถึงกระจกตา)
  • รู้สึกแสบตาหรือตาแห้ง

สาเหตุของต้อเนื้อ

  • แสงแดด: รังสี UV เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ
  • ลมและฝุ่น: การสัมผัสสิ่งระคายเคืองในระยะเวลานาน
  • ภาวะตาแห้ง: ดวงตาที่ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอมีความเสี่ยงสูง
  • พันธุกรรม: บางคนอาจมีแนวโน้มเกิดต้อเนื้อมากกว่า

การรักษาและป้องกัน

การรักษา

  1. ยาหยอดตาหรือขี้ผึ้ง: ใช้ลดการอักเสบและบรรเทาอาการ
  2. การผ่าตัด: หากเนื้อลุกลามจนบดบังการมองเห็นหรือทำให้เกิดอาการรุนแรง

การป้องกัน

  • ใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันรังสี UV
  • ใช้แว่นป้องกันฝุ่นเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีลมแรง
  • หมั่นใช้น้ำตาเทียมเพื่อป้องกันตาแห้ง
  • หลีกเลี่ยงการจ้องแสงแดดหรือหน้าจอโดยไม่มีการป้องกัน

ต้อเนื้อ ไม่ใช่โรคอันตรายถึงชีวิต แต่หากปล่อยไว้จนเนื้อลุกลามเข้าไปในกระจกตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ในระยะยาว

 

ต้อกระจก (Cataract)

ต้อกระจก คือ ภาวะที่เลนส์ตา (ส่วนที่ใสของดวงตา) ขุ่นมัว ทำให้แสงผ่านเข้าสู่จอตาได้น้อยลง ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัว หรือมองเห็นไม่ชัด โดยต้อกระจกมักเกิดจากความเสื่อมตามวัย แต่ก็อาจมีสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน

อาการของต้อกระจก

  1. การมองเห็นพร่ามัวหรือหมอง ไม่ชัดเจนเหมือนมองผ่านหมอก
  2. ตาสู้แสงไม่ได้หรือไวต่อแสงมากกว่าปกติ
  3. การมองเห็นในที่แสงน้อยหรือเวลากลางคืนแย่ลง
  4. สีของวัตถุที่มองเห็นดูซีดจางหรือผิดเพี้ยน
  5. การเปลี่ยนแปลงค่าสายตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะสายตาสั้น

สาเหตุของต้อกระจก

  1. อายุ: เป็นสาเหตุหลัก เกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตา
  2. การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่ดวงตาสามารถทำให้เกิดต้อกระจกได้
  3. โรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน
  4. การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว
  5. แสงแดด: รังสี UV ทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  6. พันธุกรรม: หากมีคนในครอบครัวเป็น อาจมีโอกาสเป็นได้เช่นกัน

การรักษาและป้องกัน

การรักษา

  1. การสวมแว่นตา: ในระยะแรก แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อาจช่วยปรับการมองเห็น
  2. การผ่าตัด: หากต้อกระจกส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมาก การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเทียม (Intraocular Lens : IOL) จะช่วยฟื้นฟูการมองเห็น

การป้องกัน

  • ใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันรังสี UV
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจเพิ่มความเสี่ยงหากไม่จำเป็น
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ และอาหารที่มีวิตามินซี อี

ต้อกระจกสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการผ่าตัด โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้า การฟื้นฟูหลังผ่าตัดมักใช้เวลาไม่นาน และช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนใกล้เคียงเดิม

 

ภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis)

ภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis) คือ ภาวะที่เยื่อบุตา (ส่วนที่คลุมผิวด้านในของเปลือกตาและตาขาว) มีอาการอักเสบหรือระคายเคืองจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือควัน

อาการของภูมิแพ้ขึ้นตา

  1. คันตา: อาการคันมักเด่นชัดมาก
  2. ตาแดง: เกิดจากหลอดเลือดขยายตัว
  3. น้ำตาไหล: ดวงตาพยายามขจัดสิ่งระคายเคือง
  4. ตาบวม: โดยเฉพาะเปลือกตา
  5. ระคายเคือง: รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
  6. แพ้แสง: บางคนอาจรู้สึกไวต่อแสง

สาเหตุของภูมิแพ้ขึ้นตา

  • สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ: เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ ควัน
  • สารเคมี: น้ำหอม โลชั่น หรือเครื่องสำอาง
  • ขนสัตว์: จากสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ
  • เชื้อรา: โดยเฉพาะในที่ชื้น

การรักษาและดูแลตัวเอง

ยาที่ใช้รักษา

  1. ยาหยอดตาลดอาการคัน: เช่น ยากลุ่ม Antihistamines
  2. น้ำตาเทียม: ช่วยล้างสารก่อภูมิแพ้และลดการระคายเคือง
  3. ยาหยอดตาสเตียรอยด์: ใช้ในกรณีอาการรุนแรง (ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์)
  4. ยาลดการอักเสบ (NSAIDs): ลดอาการอักเสบและบวม

การดูแลตัวเอง

  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ปิดหน้าต่างในช่วงที่มีเกสรเยอะ
  • ล้างมือและหลีกเลี่ยงการขยี้ตา
  • ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบตาเพื่อลดอาการบวมและระคายเคือง
  • หมั่นทำความสะอาดบ้าน ลดฝุ่นและเชื้อราที่อาจเป็นต้นเหตุ

การป้องกัน

  • ใช้แว่นกันแดดป้องกันฝุ่นและลม
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองต่อดวงตา
  • ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อลดสารก่อภูมิแพ้

ภูมิแพ้ขึ้นตาไม่ใช่ภาวะที่อันตรายร้ายแรง แต่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม

 

ตาแห้ง (Dry eye)

ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) คือ ภาวะที่ดวงตาขาดความชุ่มชื้นจากน้ำตาที่ไม่เพียงพอ หรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ทำให้เกิดความระคายเคืองและอักเสบในดวงตา ภาวะนี้พบได้บ่อยและส่งผลต่อการมองเห็นและคุณภาพชีวิต

อาการของตาแห้ง

  1. รู้สึกระคายเคือง: เหมือนมีทรายหรือสิ่งแปลกปลอมในตา
  2. ตาแดง: เกิดจากการระคายเคืองเรื้อรัง
  3. คันตา: บางครั้งอาจแสบหรือเจ็บตา
  4. น้ำตาไหลมากผิดปกติ: เป็นปฏิกิริยาของดวงตาที่พยายามแก้ไขความแห้ง
  5. ตาพร่า: โดยเฉพาะเมื่อจ้องคอมหรืออ่านหนังสือนาน ๆ
  6. แพ้แสง: รู้สึกไม่สบายตาเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า

สาเหตุของตาแห้ง

  1. อายุ: การผลิตน้ำตาลดลงตามวัย
  2. ฮอร์โมน: เช่น ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  3. การใช้หน้าจอ: จ้องคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน ทำให้กระพริบตาน้อยลง
  4. สภาพแวดล้อม: อากาศแห้ง ลมแรง หรือแอร์
  5. ยาบางชนิด: เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาแก้แพ้ ยานอนหลับ
  6. โรคประจำตัว: เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Sjögren’s syndrome) หรือโรคเบาหวาน
  7. การใส่คอนแทคเลนส์: ใช้งานนานเกินไป

การรักษาและดูแลตัวเอง

การรักษา

  1. น้ำตาเทียม: ใช้บ่อย ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
  2. ยาหยอดตาลดการอักเสบ: หากมีการอักเสบร่วม
  3. การอุดท่อน้ำตา: วิธีป้องกันการไหลของน้ำตาออกจากดวงตา (ในกรณีรุนแรง)
  4. การรักษาด้วยแสง (IPL): กระตุ้นต่อมผลิตน้ำมันที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดวงตา

การดูแลตัวเอง

  • กระพริบตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้หน้าจอ
  • ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง (Humidifier)
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีลมแรงหรือแอร์เป่าตรงดวงตา
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกาย

การป้องกัน

  • พักสายตาทุก ๆ 20 นาทีเมื่อต้องจ้องจอ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
  • ใช้แว่นกันลมและฝุ่นเมื่ออยู่ในที่แจ้ง
  • เลือกใช้น้ำตาเทียมที่ปราศจากสารกันบูด

ภาวะตาแห้งมักไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าปล่อยไว้เรื้อรัง อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือปัญหาทางตาอื่น ๆ ได้ หากอาการแย่ลง ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสม

 

สามารถสอบถามเพิ่มเติม / นัดตรวจได้ที่ Line : @drbirdcl

แชร์ไปที่ :

บทความอื่นๆ

ติดต่อนัดหมาย