ต้อลม (Pinguecula)
ต้อลม คือ ภาวะที่ดวงตามีการอักเสบหรือระคายเคืองจากการสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมในอากาศ เช่น ฝุ่น ควัน หรือสารก่อภูมิแพ้ ต้อลมจะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือรอยนูนเล็ก ๆ บริเวณตาขาว โดยเฉพาะใกล้ ๆ กับกระจกตา
อาการของต้อลม
- ตาแดงหรือระคายเคือง
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
- ตาแห้งหรือน้ำตาไหลมากกว่าปกติ
- คันตาหรือแสบตา
สาเหตุของต้อลม : ต้อลมมักเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งที่ระคายเคือง เช่น
- ฝุ่นละอองหรือควัน
- แสงแดด (รังสี UV)
- ลมแรง
- สารเคมี เช่น น้ำยาทำความสะอาด
การรักษาและป้องกัน
- ใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตาเพื่อลดการระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหรือควันเยอะ
- ใส่แว่นกันแดดหรือแว่นป้องกันลมเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม
ต้อลมไม่ได้อันตรายถึงขั้นทำให้ตาบอด แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดความระคายเคืองเรื้อรังหรือพัฒนาเป็นโรคอื่นได้ เช่น ต้อเนื้อ
ต้อเนื้อ (Pterygium)
ต้อเนื้อ คือ ภาวะที่มีเนื้อเยื่อสีขาวขุ่นหรือชมพูหนา เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุตาขาว และค่อย ๆ ลุกลามเข้าไปที่กระจกตา (ส่วนดำของตา) ต้อเนื้อเกิดจากการที่ดวงตาสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองหรือแสงแดดเป็นเวลา
อาการของต้อเนื้อ
- เนื้อเยื่อหนานูนบริเวณตาขาวที่ลุกลามเข้ากระจกตา
- ตาแดงหรือระคายเคือง
- การมองเห็นพร่ามัว (หากเนื้อลุกลามถึงกระจกตา)
- รู้สึกแสบตาหรือตาแห้ง
สาเหตุของต้อเนื้อ
- แสงแดด: รังสี UV เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ
- ลมและฝุ่น: การสัมผัสสิ่งระคายเคืองในระยะเวลานาน
- ภาวะตาแห้ง: ดวงตาที่ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอมีความเสี่ยงสูง
- พันธุกรรม: บางคนอาจมีแนวโน้มเกิดต้อเนื้อมากกว่า
การรักษาและป้องกัน
การรักษา
- ยาหยอดตาหรือขี้ผึ้ง: ใช้ลดการอักเสบและบรรเทาอาการ
- การผ่าตัด: หากเนื้อลุกลามจนบดบังการมองเห็นหรือทำให้เกิดอาการรุนแรง
การป้องกัน
- ใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันรังสี UV
- ใช้แว่นป้องกันฝุ่นเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีลมแรง
- หมั่นใช้น้ำตาเทียมเพื่อป้องกันตาแห้ง
- หลีกเลี่ยงการจ้องแสงแดดหรือหน้าจอโดยไม่มีการป้องกัน
ต้อเนื้อ ไม่ใช่โรคอันตรายถึงชีวิต แต่หากปล่อยไว้จนเนื้อลุกลามเข้าไปในกระจกตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ในระยะยาว
ต้อกระจก (Cataract)
ต้อกระจก คือ ภาวะที่เลนส์ตา (ส่วนที่ใสของดวงตา) ขุ่นมัว ทำให้แสงผ่านเข้าสู่จอตาได้น้อยลง ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัว หรือมองเห็นไม่ชัด โดยต้อกระจกมักเกิดจากความเสื่อมตามวัย แต่ก็อาจมีสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน
อาการของต้อกระจก
- การมองเห็นพร่ามัวหรือหมอง ไม่ชัดเจนเหมือนมองผ่านหมอก
- ตาสู้แสงไม่ได้หรือไวต่อแสงมากกว่าปกติ
- การมองเห็นในที่แสงน้อยหรือเวลากลางคืนแย่ลง
- สีของวัตถุที่มองเห็นดูซีดจางหรือผิดเพี้ยน
- การเปลี่ยนแปลงค่าสายตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะสายตาสั้น
สาเหตุของต้อกระจก
- อายุ: เป็นสาเหตุหลัก เกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตา
- การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่ดวงตาสามารถทำให้เกิดต้อกระจกได้
- โรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน
- การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว
- แสงแดด: รังสี UV ทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- พันธุกรรม: หากมีคนในครอบครัวเป็น อาจมีโอกาสเป็นได้เช่นกัน
การรักษาและป้องกัน
การรักษา
- การสวมแว่นตา: ในระยะแรก แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อาจช่วยปรับการมองเห็น
- การผ่าตัด: หากต้อกระจกส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมาก การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเทียม (Intraocular Lens : IOL) จะช่วยฟื้นฟูการมองเห็น
การป้องกัน
- ใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันรังสี UV
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจเพิ่มความเสี่ยงหากไม่จำเป็น
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
- กินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ และอาหารที่มีวิตามินซี อี
ต้อกระจกสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการผ่าตัด โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้า การฟื้นฟูหลังผ่าตัดมักใช้เวลาไม่นาน และช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนใกล้เคียงเดิม
ภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis)
ภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis) คือ ภาวะที่เยื่อบุตา (ส่วนที่คลุมผิวด้านในของเปลือกตาและตาขาว) มีอาการอักเสบหรือระคายเคืองจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือควัน
อาการของภูมิแพ้ขึ้นตา
- คันตา: อาการคันมักเด่นชัดมาก
- ตาแดง: เกิดจากหลอดเลือดขยายตัว
- น้ำตาไหล: ดวงตาพยายามขจัดสิ่งระคายเคือง
- ตาบวม: โดยเฉพาะเปลือกตา
- ระคายเคือง: รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
- แพ้แสง: บางคนอาจรู้สึกไวต่อแสง
สาเหตุของภูมิแพ้ขึ้นตา
- สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ: เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ ควัน
- สารเคมี: น้ำหอม โลชั่น หรือเครื่องสำอาง
- ขนสัตว์: จากสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ
- เชื้อรา: โดยเฉพาะในที่ชื้น
การรักษาและดูแลตัวเอง
ยาที่ใช้รักษา
- ยาหยอดตาลดอาการคัน: เช่น ยากลุ่ม Antihistamines
- น้ำตาเทียม: ช่วยล้างสารก่อภูมิแพ้และลดการระคายเคือง
- ยาหยอดตาสเตียรอยด์: ใช้ในกรณีอาการรุนแรง (ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์)
- ยาลดการอักเสบ (NSAIDs): ลดอาการอักเสบและบวม
การดูแลตัวเอง
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ปิดหน้าต่างในช่วงที่มีเกสรเยอะ
- ล้างมือและหลีกเลี่ยงการขยี้ตา
- ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบตาเพื่อลดอาการบวมและระคายเคือง
- หมั่นทำความสะอาดบ้าน ลดฝุ่นและเชื้อราที่อาจเป็นต้นเหตุ
การป้องกัน
- ใช้แว่นกันแดดป้องกันฝุ่นและลม
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองต่อดวงตา
- ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อลดสารก่อภูมิแพ้
ภูมิแพ้ขึ้นตาไม่ใช่ภาวะที่อันตรายร้ายแรง แต่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
ตาแห้ง (Dry eye)
ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) คือ ภาวะที่ดวงตาขาดความชุ่มชื้นจากน้ำตาที่ไม่เพียงพอ หรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ทำให้เกิดความระคายเคืองและอักเสบในดวงตา ภาวะนี้พบได้บ่อยและส่งผลต่อการมองเห็นและคุณภาพชีวิต
อาการของตาแห้ง
- รู้สึกระคายเคือง: เหมือนมีทรายหรือสิ่งแปลกปลอมในตา
- ตาแดง: เกิดจากการระคายเคืองเรื้อรัง
- คันตา: บางครั้งอาจแสบหรือเจ็บตา
- น้ำตาไหลมากผิดปกติ: เป็นปฏิกิริยาของดวงตาที่พยายามแก้ไขความแห้ง
- ตาพร่า: โดยเฉพาะเมื่อจ้องคอมหรืออ่านหนังสือนาน ๆ
- แพ้แสง: รู้สึกไม่สบายตาเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า
สาเหตุของตาแห้ง
- อายุ: การผลิตน้ำตาลดลงตามวัย
- ฮอร์โมน: เช่น ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
- การใช้หน้าจอ: จ้องคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน ทำให้กระพริบตาน้อยลง
- สภาพแวดล้อม: อากาศแห้ง ลมแรง หรือแอร์
- ยาบางชนิด: เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาแก้แพ้ ยานอนหลับ
- โรคประจำตัว: เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Sjögren’s syndrome) หรือโรคเบาหวาน
- การใส่คอนแทคเลนส์: ใช้งานนานเกินไป
การรักษาและดูแลตัวเอง
การรักษา
- น้ำตาเทียม: ใช้บ่อย ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- ยาหยอดตาลดการอักเสบ: หากมีการอักเสบร่วม
- การอุดท่อน้ำตา: วิธีป้องกันการไหลของน้ำตาออกจากดวงตา (ในกรณีรุนแรง)
- การรักษาด้วยแสง (IPL): กระตุ้นต่อมผลิตน้ำมันที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดวงตา
การดูแลตัวเอง
- กระพริบตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้หน้าจอ
- ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง (Humidifier)
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีลมแรงหรือแอร์เป่าตรงดวงตา
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกาย
การป้องกัน
- พักสายตาทุก ๆ 20 นาทีเมื่อต้องจ้องจอ
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
- ใช้แว่นกันลมและฝุ่นเมื่ออยู่ในที่แจ้ง
- เลือกใช้น้ำตาเทียมที่ปราศจากสารกันบูด
ภาวะตาแห้งมักไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าปล่อยไว้เรื้อรัง อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือปัญหาทางตาอื่น ๆ ได้ หากอาการแย่ลง ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสม
สามารถสอบถามเพิ่มเติม / นัดตรวจได้ที่ Line : @drbirdcl